ใช้กล่องใส่อาหารแบบไหน ถึงไม่พาแบรนด์ร่วง?
รู้จัก “มาตรฐานบรรจุภัณฑ์อาหาร” ที่คนขายของกินห้ามพลาด!!
ในยุคที่ใคร ๆ ก็ขายอาหารออนไลน์ได้ การมี กล่องใส่อาหารที่สวย ดูดี อาจไม่พออีกต่อไป
เพราะถ้า “บรรจุภัณฑ์สัมผัสอาหาร” ของคุณไม่มี มาตรฐานความปลอดภัย (Food Grade) ที่ถูกต้อง
.
จากแบรนด์น่ากิน อาจกลายเป็นแบรนด์พังในชั่วพริบตา!
.
แล้ว กล่องใส่อาหารแบบไหนถึงปลอดภัยจริง? มีกี่มาตรฐาน? ต้องดูอะไรบ้างก่อนสั่งผลิต?
บทความนี้มีคำตอบครบแบบเข้าใจง่ายใน 5 นาที
⸻
ทำไม “มาตรฐานบรรจุภัณฑ์อาหาร” ถึงสำคัญ?
เพราะบรรจุภัณฑ์คือสิ่งแรกที่สัมผัสกับอาหารโดยตรง
หากวัสดุไม่ได้คุณภาพ อาจปล่อยสารเคมีตกค้างลงในอาหาร
ส่งผลเสียต่อสุขภาพผู้บริโภค และเสี่ยงโดนร้องเรียน ฟ้องร้อง หรือโดนรีวิวแย่จนยอดขายพังได้
การเลือก “กล่องใส่อาหารปลอดภัย” ที่ผ่านการรับรอง จึงไม่ใช่แค่เรื่องภาพลักษณ์ แต่เป็นการปกป้องแบรนด์ของคุณแบบระยะยาว
⸻
มาตรฐานบรรจุภัณฑ์อาหารที่ผู้ประกอบการควรรู้
1. มาตรฐาน Food Grade
หนึ่งในคำที่เห็นบ่อยที่สุดเวลาซื้อกล่องใส่อาหาร
แต่รู้ไหมว่า “Food Grade” ไม่ใช่แค่คำโฆษณา มันคือข้อกำหนดว่า
วัสดุนั้นต้อง ไม่ปล่อยสารอันตราย เมื่อนำมาใส่อาหาร
ตัวอย่างวัสดุ Food Grade ที่นิยม:
• พลาสติกประเภท PP, PET, HDPE
• กระดาษเคลือบฟิล์มที่ปลอดภัย (ไม่มีสารฟอกขาว/ไม่มีสารเคมีรั่วซึม)
• PLA และวัสดุชีวภาพ (Bioplastic) ที่ผ่านการรับรอง
⸻
2.มาตรฐาน มอก. (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) ที่เกี่ยวข้องกับ บรรจุภัณฑ์ มีทั้งแบบ บังคับ และ สมัครใจ แต่ชนิดที่เป็น “ข้อบังคับ” (ต้องปฏิบัติตามโดยกฎหมาย) จะมุ่งเน้นไปที่ บรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน กลุ่มอาหาร ยา และเวชภัณฑ์ เช่น:
มอก. ที่เป็นข้อบังคับเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ได้แก่:
มอก. 2421-2562
บรรจุภัณฑ์สำหรับสัมผัสอาหาร - วัสดุพลาสติกเป็นมาตรฐานที่กำหนดเรื่องการย้ายสารเคมีจากพลาสติกสู่อาหาร (migration test) โดยใช้กับผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ใช้บรรจุอาหารโดยตรง
มอก. 1294-2541
ขวดพลาสติกโพลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) สำหรับน้ำดื่ม
ใช้สำหรับบรรจุน้ำดื่มโดยเฉพาะ มีข้อบังคับทั้งด้านโครงสร้าง และความปลอดภัยของวัสดุ
มอก. 835-2551
ถุงพลาสติกสำหรับบรรจุอาหาร – ระบุความหนา ความปลอดภัย ไม่ให้มีสารพิษตกค้าง เช่น สารฟอกสี
มอก. 2951-2562
วัสดุสัมผัสอาหาร - การเรียกคืนสินค้า
ใช้กับผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
⸻
3. มาตรฐานต่างประเทศ (สำหรับแบรนด์ส่งออกหรือโรงแรม/คาเฟ่ระดับสูง)
• FDA (U.S. Food and Drug Administration) – ใช้กับสินค้าส่งออกไปอเมริกา
• LFGB (เยอรมนี) – เข้มงวดมากสำหรับภาชนะที่สัมผัสอาหาร
• EU 10/2011 – สำหรับพลาสติกที่ใช้ในยุโรป
• BRC/IoP หรือ ISO 22000 – สำหรับโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะ
ถ้าแบรนด์ของคุณกำลังมองการเติบโตแบบสเกลใหญ่ หรือขายใน Modern Trade
การมีมาตรฐานเหล่านี้จะช่วยเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ ๆ
⸻
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ากล่องที่ใช้ “ผ่านมาตรฐาน” จริง?
เช็กรวดเร็วด้วยวิธีนี้:
• มี ตรารับรอง Food Grade, FDA หรือ อย. บนบรรจุภัณฑ์หรือเอกสาร
• ขอ เอกสาร Certificate of Analysis (COA) จากผู้ผลิต
• ถามหา ผลทดสอบ Migration Test (ทดสอบการแพร่กระจายของสารอันตรายสู่ตัวอาหาร)
• ตรวจสอบ แหล่งผลิต ว่ามาจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน ISO หรือไม่
⸻
กล่องสวยก็ต้องปลอดภัย บรรจุภัณฑ์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
หลายแบรนด์พลาดตรงนี้—เลือกกล่องจากดีไซน์ล้วน ๆ
แต่ลืมดูว่าวัสดุปลอดภัยหรือเปล่า
อย่าลืมว่า…ลูกค้าไม่ได้แค่ “มอง” บรรจุภัณฑ์ แต่ “กินเข้าไป” ด้วย
บรรจุภัณฑ์อาหารที่ดี ควร:
• ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
• ทนความร้อน/เย็น
• ไม่มีสารเคมีตกค้าง
• รองรับการพิมพ์โลโก้หรือ CI สีที่ไม่ปนเปื้อนอาหาร
⸻
สรุป: ใช้กล่องใส่อาหารแบบไหน ถึงไม่พาแบรนด์ร่วง?
ถ้าคุณขายอาหาร อย่าดูแค่ “หน้าตา” ของกล่อง
แต่ต้องดูให้ลึกถึง มาตรฐานความปลอดภัย ที่จะปกป้องทั้งลูกค้าและแบรนด์ของคุณ
เช็กลิสต์ก่อนเลือกกล่องใส่อาหาร:
• มีตรารับรอง Food Grade
• ผ่าน อย. หรือ FDA (ถ้าขายต่างประเทศ)
• มีเอกสาร COA หรือผลทดสอบ
• ผลิตจากวัสดุที่ทนร้อน-เย็นได้
• รองรับ CI แบรนด์โดยไม่ทำให้สีหลุดปนอาหาร
⸻
อยากได้บรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย ที่เหมาะสมกับแบรนด์คุณอยู่หรือไม่?
ติดต่อเราเพื่อขอแคตตาล๊อกสินค้า หรือปรึกษาทีมให้บริการออนไลน์ของเรา
เราช่วยคุณได้ทั้ง “เรื่องมาตรฐาน” และ “ภาพลักษณ์แบรนด์”
ช่องทางการติดต่อ แพคโก
Line : @packo
Tell : 094 907 1111 , 094 908 1111
Facebook : Packaging With Pride
ที่อยู่สำนักกงานใหญ่
Packo Packaging
88 ซอยลาดพร้าว 91 แขวงคลองเจ้าคุณสิงห์
เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310