เป็นที่ทราบกันดีว่าบรรจุภัณฑ์มีหลากหลายรูปแบบ เช่นเดียวกับสินค้าที่มีความหลากหลายเช่นกัน จนบางครั้ง แม้จะเป็นบรรจุภัณฑ์ประเภทเดียวกัน แต่ก็ยังลังเลว่าจะเลือกแบบไหนดี ทั้งที่คุณภาพและราคาใกล้เคียงกัน วันนี้แอดมินมีแนวทางในการเลือกบรรจุภัณฑ์มาฝากทุกคน เพื่อช่วยให้การตัดสินใจเป็นเรื่องง่ายขึ้น
บรรจุภัณฑ์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีหลายประเภท โดยหนึ่งในประเภทที่ได้รับความนิยมมากคือ บรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายชนิด เช่น ถุงพลาสติกและถ้วยพลาสติก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี บรรจุภัณฑ์กระดาษ ตั้งแต่ถุงกระดาษพร้อมหูหิ้วไปจนถึงกล่องกระดาษ
หากต้องการเลือกบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสม เรามีแนวทางที่น่าสนใจดังนี้
1.. ประเภทสินค้า การเลือกบรรจุภัณฑ์ต้องคำนึงถึงลักษณะของสินค้า ทั้งในแง่ของกายภาพและคุณสมบัติทางเคมี เช่น
- สินค้าที่เป็นของเหลว เช่น นม น้ำส้ม น้ำมันพืช ควรเลือก บรรจุภัณฑ์พลาสติก เพราะสามารถทนความชื้นและความร้อน ปกป้องสินค้าได้ดี
- ควรหลีกเลี่ยง บรรจุภัณฑ์กระดาษ เพราะไม่สามารถทนความชื้นได้ อาจเสียสภาพเมื่อสัมผัสกับน้ำ
2. ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย บรรจุภัณฑ์มีผลโดยตรงต่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นควรพิจารณาพฤติกรรมการซื้อ รสนิยม และวิธีเก็บรักษาสินค้าของลูกค้า เพื่อนำไปสู่การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ตรงกับตลาดเป้าหมายมากที่สุด
3. ประเภทบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ที่นิยมใช้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่
· พลาสติก
- มีหลายชนิดและหลายราคา
- ราคาถูก ขึ้นรูปได้ตามต้องการ
- เหมาะกับสินค้าหลากหลายประเภท
· โลหะ
- แข็งแรง ทนแรงดันและความร้อนได้ดี
- สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) ได้
- ข้อเสีย: เปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บ กัดกร่อนง่าย และอาจทำปฏิกิริยากับสินค้าบางชนิด
· กระดาษ
- น้ำหนักเบา ราคาถูก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ
- ข้อเสีย: ไม่ทนความชื้นและฉีกขาดง่าย
· แก้ว
- มีความใส โปร่งแสง ป้องกันการซึมผ่านของน้ำ กลิ่น และก๊าซ
- ทำความสะอาดง่าย ไม่ทำปฏิกิริยากับสินค้าบางชนิด
- ข้อเสีย: น้ำหนักมากและแตกหักง่ายเมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่น
4. การจัดจำหน่าย การเลือกบรรจุภัณฑ์ควรพิจารณาถึงช่องทางการจัดจำหน่าย เช่น
· หากขายผ่าน พ่อค้าคนกลาง ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่แข็งแรงและจัดวางง่าย เนื่องจากเราไม่สามารถควบคุมวิธีการจัดเรียงสินค้าได้
· หากขายเอง สามารถเลือกบรรจุภัณฑ์ตามความเหมาะสม เพราะเราสามารถกำหนดการจัดวางสินค้าและบริหารพื้นที่ภายในร้านได้เอง
5. การเก็บรักษาและระยะเวลาในการเก็บรักษา
· หากสินค้าต้องการเก็บรักษาเป็นเวลานาน และมีการระบุอายุการเก็บรักษาบนฉลาก ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่สามารถทนความชื้นได้และไม่ทำปฏิกิริยากับสินค้า บรรจุภัณฑ์แก้ว เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับกรณีนี้ แต่หากสินค้าเป็นของเหลวทั่วไปที่ไม่ทำปฏิกิริยากับบรรจุภัณฑ์ เช่น น้ำปลา นม น้ำส้ม บรรจุภัณฑ์พลาสติก ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะสามารถป้องกันความชื้นได้ ในทางกลับกัน ควรหลีกเลี่ยง บรรจุภัณฑ์กระดาษ เพราะไม่ทนต่อความชื้นและมีอายุการใช้งานสั้น
· ก่อนเลือกบรรจุภัณฑ์ ควรพิจารณาว่าสินค้าเป็นประเภทใด หากเป็นสินค้าที่มีน้ำหนักเบาและเป็นของแห้ง เช่น เสื้อผ้า หรือเครื่องประดับ บรรจุภัณฑ์กระดาษ ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
6. ความสะดวกในการใช้งาน
· บรรจุภัณฑ์ที่เปิด-ปิดยาก อาจทำให้ลูกค้าใช้งานลำบากและเกิดความไม่พอใจ ซึ่งส่งผลต่อยอดขายได้ ดังนั้น ควรออกแบบหรือเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ใช้งานง่าย สะดวก และตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้า
7. ราคาของบรรจุภัณฑ์
· ราคาของบรรจุภัณฑ์ส่งผลโดยตรงต่อกำไรของสินค้า เจ้าของธุรกิจควรคำนวณต้นทุนให้เหมาะสม หากต้นทุนบรรจุภัณฑ์ต่ำ จะช่วยให้ได้กำไรมากขึ้น นอกจากนี้ ควรมองไปถึงอนาคต ว่าบรรจุภัณฑ์ที่เลือกสามารถช่วยต่อยอดแบรนด์ได้หรือไม่ โดยเฉพาะในกรณีที่สินค้าขายดีและมีแผนสร้างแบรนด์ในระยะยาว
8. ความทนทานของบรรจุภัณฑ์
· บรรจุภัณฑ์มีหน้าที่สำคัญในการปกป้องสินค้า ลดความเสียหายระหว่างการขนส่ง หากบรรจุภัณฑ์ไม่มีความแข็งแรง อาจเกิดความเสียหายระหว่างการขนส่ง ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนสินค้าใหม่ ซึ่งจะเพิ่มต้นทุน และอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจเนื่องจากการส่งสินค้าล่าช้า
9. ศึกษาคุณสมบัติของบรรจุภัณฑ์ก่อนเลือกใช้
· เนื่องจากบรรจุภัณฑ์มีหลายประเภท ควรศึกษาข้อดี-ข้อเสียของแต่ละแบบก่อนตัดสินใจเลือก เช่น ขนาด ราคา และรูปทรง ให้เหมาะสมกับสินค้า เพื่อให้ได้บรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านการใช้งานและการตลาดมากที่สุด
การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม ไม่เพียงช่วยปกป้องสินค้า แต่ยังช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า และส่งผลดีต่อการขายอีกด้วย